
ปีนี้ พ.ศ. 2565 เป็นปีที่กระแสรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEV) ในประเทศไทยได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก อาจจะเนื่องด้วยราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นไม่ลดละ หรือได้เวลาที่ต้องเปลี่ยนรถยนต์ใหม่ คันเดิมเริ่มไม่ไหวกับการซ่อมแซมบำรุงรักษา หรือจะอะไรก็ตามแต่ ผู้เขียนก็เชื่อว่า ถ้าผู้อ่านกดเข้ามาอ่านบทความนี้ ก็น่าจะเป็นคนที่สนใจ หรือกำลังสนใจใน "รถยนต์ไฟฟ้า" หรือ EV Car เหมือนกัน วันนี้เลยจะเขียนบทความเพื่อสรุปมาให้อ่านแบบสั้นๆ เข้าใจง่าย จากการที่ผู้เขียนก็สนใจจะซื้อมาใช้เหมือนกัน เลยหาข้อมูลที่มากล้น มาสรุปเพื่ออธิบายให้คนอนุมัติการซื้อที่บ้านเข้าใจในเบื้องต้น

เพื่อป้องกันความสับสนในเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าในบทความนี้ ขอพูดถึงเฉพาะชนิดใช้ไฟฟ้าล้วน BEV เท่านั้นนะครับ ไม่รวมแบบอื่นๆ ดังในภาพข้างบนนี้
ดูจุดประสงค์ของการใช้งานของตนเอง
เพราะการใช้งานรถยนต์ของแต่ละคนนั้น มีความแตกต่างกันมาก ทั้งเพื่อเป็นพาหนะในการเดินทาง การประกอบอาชีพ ประดับบารมี สิ่งจำเป็นต้องมี ฯลฯ การเลือกใช้งานรถยนต์ของแต่ละคน จึงมีวัตถุประสงค์การใช้งานรถยนต์แตกต่างกันออกไป ทำให้ตัดสินใจเลือก รูปแบบ รูปทรงของรถ ขนาด จำนวนที่นั่ง รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ อาทิเช่น
- ขับรถไปทำงานในสถานที่ทำงานประจำ ออกจากบ้านตอนเช้า กลับบ้านตอนเย็น ในเส้นทางเดิมๆ ประจำ ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างเท่าเดิม
- ขับรถไปเรียน, ขับรถไปรับ-ส่งลูก
- ขับรถในเมืองเป็นหลัก นานๆ ทีถึงจะออกไปเที่ยวต่างจังหวัด
- ขับรถเพื่อการสันทนาการ ท่องเที่ยวอยู่เป็นประจำ ใครชวนไปไหนก็ไปทันทีไม่รีรอ
- ใช้รถยนต์ขับทางไกลๆ เสมอๆ เพราะมีอาชีพต้องเดินทางอย่าง เซลล์แมน ทนายความ
สิ่งแรกที่ต้องเช็คเลย นั่นคือ "การใช้งาน" ครับ ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน รถยนต์ไฟฟ้านั้นเหมาะกับการใช้งาน "ทุกรูปแบบ" อยู่แล้วครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีตารางการใช้ชีวิตในรอบ 1 สัปดาห์เหมือนๆ กัน เดิมๆ เกินกว่า 70% จะเข้าข่าย "ควรใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า" เป็นอย่างยิ่ง เพราะตารางชีวิตประจำวันของคุณนั้นเหมือนเดิมวนเวียนตลอดนั่นเอง ทำให้วางแผนการใช้งานง่ายขึ้นมาก
สิ่งที่แตกต่างออกไปจากตารางชีวิตแบบนี้นั่นคือ "เลิกเข้าปั้มเพื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิง" เพราะไลฟ์สไตล์ของคุณจะเปลี่ยนมาเป็น นั่นเองครับ ซึ่งเป็นจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถมีปั๊มเติมเชื้อเพลิงส่วนตัวที่บ้านได้ ไม่ต่างกับการใช้งานโทรศัพท์มือถือ ที่กลับถึงบ้านชาร์จการถึงบ้านตอนเย็นปุ๊บ เสียบปลั๊กชาร์จแบตเตอรี่ให้พร้อม ตอนเช้าดึงสายชาร์จออก แล้วใช้งานรถแบบพลังงานเต็มเปี่ยม 100% ทุกๆ วัน ออกจากบ้านเช้าใช้งาน วนเป็นวัฏจักรทุกๆ วัน
รถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันนี้ (กรกฎาคม 2565) จะยังไม่เหมาะกับคนที่เดินทางไกลบ่อยๆ ในเส้นทางใหม่ๆ ไม่แน่นอน โดยเฉพาะการเดินทางในเส้นทางที่ไม่ใช่เส้นทางหลักที่ผ่านตัวจังหวัดใหญ่ๆ หรือมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ หรือคนที่ประเภทเพื่อนเอ่ยปากชวนแล้วไปไหนไปกันทันที ไม่มีการวางแผนในการเดินทาง อาจจะไปหมดแบตกลางทางหาที่ชาร์จไม่ได้ (แต่ในอนาคตเมื่อสถานีชาร์จมากขึ้น ปัญหานี้จะหมดไป เหมือนเมื่อครั้งที่ผู้เขียนเริ่มใช้รถยนต์ติดแก๊ส LPG เมื่อสิบกว่าปีก่อน)

มาที่ขนาดและรูปทรงของรถก็หมือนกัน ปกติถ้าใช้งานอยู่คนเดียว หรือมีครอบครัวเล็กๆ สมาชิกไม่เกิน 4 คน ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้บรรทุกสิ่งของแบบย้ายบ้านที แบบนี้ก็เลือกรถยนต์นั่งคันเล็กๆ ก็เพียงพอ เพื่อขับรับ-ส่งลูก หรือไปทำงานประจำ ก็ไม่ต้องเลือกรถยนต์ที่เป็นทรง SUV มีที่บรรทุกของเยอะๆ ก็ได้ เพราะขนาดและรูปร่างของรถก็จะมีผลต่อราคาของรถด้วย รถเล็กน้ำหนักเบาราคาก็ถูกกว่า เพราะแบตเตอรี่ก็ขนาดเล็กลง ประหยัดพลังงานกว่ารถรูปทรงสูงใหญ่ (คนไทยส่วนใหญ่มักจะเลือกเผื่อไว้ก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่เคยใช้ประโยชน์ตรงนั้น คิดดีๆ นะครับ)
ประสิทธิภาพของรถยนต์ไฟฟ้า
เมื่อผ่านเงื่อนไขเรื่องการใช้งานมาแล้ว ถัดมาให้คำนึงถึง "ประสิทธิภาพของตัวรถ" ว่าตรงกับวัตถุประสงค์การใช้งานของเรามากเพียงพอหรือไม่ โดยพิจารณาจาก
1. ระยะทางขับขี่ ต่อ 1 การชาร์จ
รถยนต์ที่เราเลือกต้องดูว่า มีระยะทางเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปของเราหรือไม่ หากเราใช้รถวันละประมาณ 100 กิโลเมตร ก็สามารถเลือกรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใดก็ได้ หรืออาจจะเป็นรุ่นความจุแบตเตอรี่ขนาดมาตรฐานก็ได้ เพราะมักจะมีราคาวางจำหน่ายถูกกว่ารุ่นแบตเตอรี่ความจุสูงมาก ถึงขนาดหลักแสนบาทเลยทีเดียว โดยปริมาณแบตเตอรี่นั้นก็เหมือนกับความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง ในรถยนต์เครื่องสันดาปนั่นเองครับ
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ขับรถค่อนข้างไกล หรืออยากเผื่อใช้เดินทางไกลด้วย ก็ควรเลือกรุ่นที่มีความจุแบตเตอรี่สูงเอาไว้ก่อน เพราะ "เหลือ ดีกว่าขาด" แต่ราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
เรื่องระยะทางที่กำหนดจากคำโฆษณานี่ให้ดูดีๆ นะครับว่า ระยะทางที่ว่าอิงกับมาตรฐานอะไร เช่น
- NEDC (New European Driving Cycle)
- WLTP (Worldwide Harmonised Light Vehicle Test Procedure)
- EPA (Environmental Protection Agency)
- CLTC (China Light Duty Vehicle Test Cycle)
มาตรฐาน NEDC และ WLTP ทั้งคู่เป็นมาตรฐานการทดสอบจากยุโรป ในขณะที่ EPA มาจากการทดสอบในสหรัฐอเมริกา แต่ละมาตรฐานก็มีการทดสอบที่แตกต่างกัน แต่ทั่วโลกให้การทดสอบของ EPA ให้ผลลัพท์ที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ส่วน CLTC นั้นเป็นมาตรฐานที่ออกมาทีหลังของ "ค่ายรถยนต์ในจีน" ที่พวกเขาใช้กับตลาดรถภายในประเทศเท่านั้น รถยนต์ที่นำมาขายในประเทศไทยเราส่วนใหญ่จะอิงมาตรฐาน NEDC หรือ WLTP เป็นหลัก ซึ่งทุกมาตรฐานเป็นการทดสอบในสถานที่ทดลองช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ใช่การทดสอบใช้งานตามที่เราใช้งานกันจริงๆ ในแต่ละวัน

เราควรจะเชื่อมาตรฐานอะไรดีล่ะ ที่ใกล้เคียงกว่าเพื่อน (ที่ใช้ในประเทศไทย) ก็คงเป็น WLTP นี่ล่ะ แต่ในความเป็นจริงในการใช้งานจะได้ใกล้หรือไกล ขึ้นอยู่ที่เท้าผู้ขับมากกว่า เท่าที่ประมาณการกันคร่าวๆ ถ้าในข้อมูลรถบอกได้ระยะทาง 400 กิโลเมตรต่อ 1 การชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC จะได้ประมาณ 70-75% ตกที่ 280-300 กิโลเมตร ส่วน WLTPจะได้ประมาณ 90-95% ตกที่ 360-380 กิโลเมตร นี่หมายถึงวิ่งที่ความเร็วคงที่ประมาณ 100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนะครับ

ขนาดมอเตอร์ขับเคลื่อน
เป็นอีกหนึ่งจุดที่ต้องใส่ใจ เพราะรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีแรงบิดที่มหาศาลมากๆ แต่ก็ใช่ว่าจะแรงเสมอไป ในรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นนั้น ทางผู้ผลิตรถยนต์อาจเลือกใส่มอเตอร์ขับเคลื่อนขนาดเล็ก ซึ่งข้อดีคือ ประหยัดพลังงานไฟฟ้า ข้อเสียคือ เมื่อมีการรีดเค้นพลังมันมากๆ เช่น เร่งต่อเนื่องขึ้นเขานานๆ ก็จะทำให้มันร้อนเร็ว ส่งผลให้เกิด "ไฟเต่า" อันเป็นระบบป้องกันการเสียหายของอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าของตัวรถ ที่มีผลมาจากการเกิดจากความร้อนเกินมาตรฐาน นั่นเอง (ตามข่าว แมวไฟฟ้า ขึ้นภูชี้ฟ้าไม่ไหวนั่นแหละ)

ส่วนรถที่มีมอเตอร์ขนาดใหญ่ ก็เปรียบเสมือนรถยนต์สันดาปที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่หลายพันซีซีนั่นเอง มอเตอร์ใหญ่ กำลังก็เยอะตาม แต่ก็กินไฟเยอะตามไปด้วยเช่นกัน ข้อดีคือรถจะมีกำลังเหลือๆ ใช้เร่งแซงใครก็สบาย ใช้ขับขึ้น-ลงเขา ลงดอย ก็ชิลๆ สบายๆ แต่ถ้าเค้นมากเกินกำลังมันก็ร้อนได้อยู่ดีนะครับ แต่การเกิดอาการน็อคหรือไฟเต่าก็จะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ ด้วยมีกำลังมากเพียงพอนั่นเอง
ระบบระบายความร้อนของแบตเตอรี่-มอเตอร์
เรื่องนี้สำคัญมากๆ เป็นข้อแรกๆ เลยครับ นอกจากปริมาณแบตเตอรี่ที่มีความจุเพียงพอต่อการใช้งานของเราแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงนั้นคือ "ระบบระบายความร้อน" ของแบตเตอรี่ และมอเตอร์ขับเคลื่อนครับ เป็นข้อที่สำคัญมากสำหรับคนที่ขับรถไฟฟ้าเดินทางไกล เพราะการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าตลอดเวลานั้น จะก่อให้เกิดความร้อนที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในระดับหนึ่ง และความร้อนจะเพิ่มสูงขึ้นมากกับการชาร์จแบตเตอร์รี่แบบ DC Fast charge ตามสถานีบริการ (ให้นึกถึงโทรศัพท์มือถือที่ชาร์จไฟแบบเร็วๆ ได้ จะมีความร้อนเกิดขึ้นมากเมื่อจับที่ตัวเครื่อง)

ในรถยนต์ไฟฟ้าจะมีระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า 2 แบบ คือ ระบายด้วยอากาศ และระบายด้วยน้ำหรือสารหล่อเย็น การระบายความร้อนด้วยอากาศย่อมเสียเปรียบกว่าระบบระบายความร้อนด้วยน้ำอย่างมาก เนื่องจากอากาศประเทศไทยนั้นจัดว่าร้อนมากๆ แต่นิสัยของแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่นั้นจะไม่ชอบความร้อน และก็ไม่ชอบหนาวด้วยเหมือนกัน โดยส่วนใหญ่แล้วตัวแบตเตอรี่เองควรมีอุณหภูมิการใช้งานอยู่ระหว่าง 25-40 องศาเซลเซียสครับ
หากแบตเตอรี่ร้อนเกินไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั่นคือ "ความเร็วในการชาร์จแบตเตอร์รี่แบบ DC Fast charge จะช้าลง" เนื่องจากทุกการชาร์จแบตเตอรี่จะส่งผลให้เกิดความร้อนที่ตัวแบตเตอรี่นั่นเอง ยิ่งเราไป DC Fast charge เข้าไปอีก ตัวแบตเตอรี่ก็จะได้รับไฟฟ้ามาก ความร้อนก็จะเพิ่มสูงขึ้น ตัวระบบจึงทำการลดความเร็วในการชาร์จฯ เพื่อรักษาอุณหภูมิในอยู่ในระดับที่เหมาะสมนั่นเอง และพอลดความเร็วในการชาร์จแล้ว ระยะเวลาในการชาร์จก็จะเพิ่มเข้าไปอีก ส่งผลให้เราต้องใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่นานขึ้น
ความสามารถในการรับพลังงานไฟฟ้าของแบตเตอร์รี่
มีผลโดยตรงต่อระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอร์รี่ ยิ่งรถยนต์ที่มีสเป็กรองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าสูงๆ ก็ยิ่งทำให้คุณชาร์จแบตเตอร์รี่เต็มเร็วมากยิ่งขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะรองรับการชาร์จทั้งแบบ AC และ DC
การชาร์จรถไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) คือ การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ผ่าน Wallbox นับเป็นวิธีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีต้นทุนถูกที่สุด ณ ปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะบ้านที่ติดตั้งมิเตอร์แบบ TOU (Time of Use) จะคิดตามเวลาที่ใช้งาน On Peak (เวลา 09.00 น. – 22.00 น. วันจันทร์ - ศุกร์) หน่วยละประมาณ 5 บาท และช่วง Off Peak (เวลา 22.00 - 09.00 น. วันจันทร์ - ศุกร์ และ 00.00 - 24.00 น. ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ ไม่รวมวันหยุดชดเชย) หน่วยละประมาณ 2.6 บาท
การชาร์จแบบ AC (ชาร์จที่บ้าน) ระบบจะทำการรับไฟฟ้าจากเครื่องชาร์จที่เป็นแบบที่เรียกว่า Wallbox ผ่านเข้าสู่ On-Board AC-charger ในตัวรถ เพื่อแปลงเป็นระบบไฟฟ้าแบบ DC ส่งเข้าสู่แบตเตอร์รี ด้วยขนาดกำลังวัตต์ตั้งแต่ 6, 7, 11 หรือ 22 kW (ขึ้นอยู่กับตัว On-Board AC-charger ในรถที่ให้มา) ใช้เวลาตั้งแต่ 6-12 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นเครื่องชาร์จแบบที่แถมติดมากับตัวรถ (ที่ชาร์จฉุกเฉิน) จะมีขนาดกำลังที่ประมาณ 3.6 kW อาจใช้เวลาชาร์จนานมากกว่า 15 ชั่วโมงขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่ในรถด้วย)

การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) คือ การชาร์จไฟฟ้าที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ นับเป็นวิธีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่เร็วที่สุด เพราะเป็นการชาร์จไฟฟ้าจากหัวจ่ายเข้าสู่แบตเตอร์รี่โดยตรง (DC Charger) ไม่ต้องผ่าน On-Board AC-charger ในตัวรถ เหมือนกับการชาร์จด้วยระบบ AC ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 50, 75, 120, 250 kW หรือมากกว่า ซึ่งจะสามารถชาร์จได้เร็วมากตั้งแต่ 30 นาทีถึงชั่วโมงเศษๆ ขึ้นกับขนาดแบตเตอรี่ในรถ (โวลต์ และแอมป์ ของแบตเตอรี่ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน)
ชนิดของหัวชาร์จ
หัวชาร์จแบตเตอร์รี่ในรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งจุดที่ต้องคำนึงถึงเสมอ อารมณ์คล้ายๆ หัวชาร์จมือถือ iPhone กับหัวชาร์จ Andriod อะไรแบบนั้น ใช้ร่วมกันไม่ได้ โดยวิธีการเลือกให้เราคำนึงจาก "ตู้ชาร์จสาธารณะ" ว่าเค้าให้บริการหัวชาร์จแบบใดบ้าง ซึ่งในปัจจุบันนี้ ตู้ชาร์จสาธารณะจะมีหัวชาร์จแบตเตอร์รี่ให้บริการอยู่ 3 แบบหลัก ได้แก่
AC Type 2
เป็นหัวชาร์จกระแสสลับแบบมาตรฐานกับรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 90% ทั่วทั้งโลก เป็นหัวชาร์จที่รองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าสูงสุด 43 kW โดยตู้ชาร์จสาธารณะในประเทศไทย มักจะใช้กำลังการจ่ายไฟอยู่ที่ 22 kW โดยหัวชาร์จแบบ Wallcharge ที่ทางผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแถมมาให้พร้อมรถ ก็จะใช้หัวชาร์จมาตรฐานนี้ด้วยเช่นกัน

DC CHAdeMO
เป็นหัวชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงแบบมาตรฐานญี่ปุ่น เป็นหัวชาร์จ DC ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น พัฒนาโดยผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งจะพบได้กับรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นโดยส่วนใหญ่ (ที่จำหน่ายในไทย เช่น Nissan Leaf)
โดยหัวชาร์จประเภทนี้จะได้รับความนิยมค่อนข้างน้อย ตู้ชาร์จที่มีหัวชาร์จประเภทนี้ในประเทศไทยมีอยู่ 2 แบรนด์เท่านั้น ได้แก่ ตู้ชาร์จของ PTT EV และ PEA Volta และมีให้บริการที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ญี่ปุ่นยี่ห้อนั้นๆ ซึ่งหัวชาร์จ CHAdeMO รองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าสูงสุดที่ 100 kW โดยในประเทศไทย ตู้ชาร์จสาธารณะส่วนใหญ่จะรองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าสูงสุด 50-60 kW
DC CCS2
เป็นหัวชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงแบบมาตรฐานยุโรป เป็นหัวชาร์จแบบ DC ที่มีการใช้งานแพร่หลายมากที่สุดในโลก ที่มักใช้งานในรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตจากประเทศจีน, ประเทศโซนยุโรป รวมไปถึงรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศอื่นๆ ที่ใช้มาตรฐานการชาร์จแบบ European Standard โดยหัวชาร์จประเภทนี้ รองรับการจ่ายพลังงานไฟฟ้าด้วยกระแสไฟฟ้าสูงสุด 350 kW โดยในประเทศไทย ตู้ชาร์จสาธารณะส่วนใหญ่จะรองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าสูงสุด 50-120 kW
* มีผู้ใช้งานนำรถยนต์ไฟฟ้ามาจาก สปป.ลาว มาใช้งาน แล้วหาที่ชาร์จไม่ได้เพราะเป็นรถยนต์ที่นำเข้ามาจากจีน เป็นหัวชาร์จแบบ GB/T (โดยไม่ได้เปลี่ยนหัวชาร์จตามมาตรฐานของไทย) ดังนั้นผู้ที่จะเอารถไทยข้ามฝั่งไปเที่ยวที่ สปป.ลาว ก็ต้องหาหัวแปลง CCS2 to GB/T ติดรถไปด้วยนะ เพราะสถานีชาร์จในลาวบางแห่งเป็นหัวแบบ GB/T ส่วนมากเลย (หัวชาร์จจะมีขนาดใหญ่มากกว่าเพื่อน)

รถยนต์ Tesla ที่นำมาชายในประเทศไทยใช้หัวชาร์จมาตรฐาน CSS2 ตามที่ประเทศไทยกำหนด
ออปชันรถยนต์ที่ให้มามีมากน้อยแค่ไหน
ถัดมาก็เป็นเรื่องของอุปกรณ์เสริม (Option Accessories) ก็ไม่ต่างจากรถยนต์แบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยใช้งานกันนั่นแหละว่า จัดออปชั่นต่างๆ ที่ให้มากับรถนั้นเพียงพอต่อการใช้งานเราหรือไม่ เพิ่มเงินเพื่อเลือกเอาออปชั่นมาเพิ่มแล้วคุ้มหรือไม่คุ้ม อันนี้ก็แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคนแล้วล่ะว่า ต้องการอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น
- หลังคาซันรูฟ (จริงๆ เมืองไทยร้อนมากๆ โอกาสจะได้ใช้งานมีน้อยมาก ส่วนใหญ่ได้มาก็ปิดฟิล์มกันความร้อนแบบทึบที่สุด)
- ระบบ Adaptive Cruise Control (ปรับรักษาระดับความเร็วอัตโนมัติ)
- ระบบช่วยป้องกันออกนอกเลน
- ระบบช่วยขับ Auto Pilot (มีหลายชื่อเรียกที่ชวนสับสน เช่น Auto Assistant, Full Self Driving หรืออื่นๆ)
- ระบบช่วยถอยจอดอัตโนมัติ
- กล้องมองรอบคัน 360 องศา
- ระบบเอนเตอร์เทน Apple Car Play/Android Auto

ซึ่งส่วนนี้ก็จัดว่าเป็นจุดที่ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้านั้นเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้มากเช่นกัน อย่าเลือกซื้อเพราะว่า จะได้รุ่น Top สุด หรือ เผื่อจำเป็นต้องใช้ หรือเวลาจะใช้แล้วไม่มี ค่ายรถยนต์เขามีวิธีดูดเงินเราพอสมควรแหละต้องคิดให้มากๆ หน่อย (พอเป็นรถไฟฟ้า กำไรจากการขายอะไหล่ ของเหลว สิ่งสิ้นเปลืองต่างๆ ก็น้อยลง ทำให้หลายๆ บริษัทเริ่มมองหาช่องทางดูดเงินจากผู้ซื้อ ด้วยการให้ผู้ซื้อจ่ายเงินซื้อออปชั่นพิเศษให้รถทำงานได้มากขึ้น ผ่านทางซอฟท์แวร์ในรถโดยจ่ายเงินเป็นรายเดือนหรือรายปี ซึ่งต้นคิดก่อนใครก็ ค่ายดาวสามแฉก นั่นเอง)
การรับประกัน บริการหลังการขาย ของแถม
บริการหลังการขาย
ในส่วนของบริการหลังการขาย ก็ไม่ต่างจากรถยนต์สันดาปเลยครับ โดยส่วนของรถยนต์ไฟฟ้านั้น สิ่งที่เราต้องคำนึงเพิ่มมากขึ้นนั่นคือเรื่องของ "การรับประกันระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่" เพราะเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้า ควรมีศูนย์บริการที่ครอบคลุม มีเครื่องมือเฉพาะทาง มีช่างที่มีความชำนาญ เพราะเป็นระบบอีเล็กทรอนิกส์ที่ค่อนข้างซับซ้อน มีกำลังไฟฟ้าในระบบสูงกว่า 300 โวลต์
การรับประกัน
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้จำหน่ายรถยนต์มักให้การรับประกันที่ 5-8 ปี หรือ 100,000 กม. ขึ้นไป (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) ถ้ามากกว่านี้จะดีมาก เพราะตัวแบตเตอรี่เองก็มีราคาจำหน่ายที่สูงมากเช่นกัน คือมีราคาเกินกว่า 50% ของรถยนต์ทั้งคัน หากรับประกันน้อยแล้วเกิดแบตฯ สิ้นอายุก่อนวัยอันควร ก็จะกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายอันหนักอึ้งเลยทีเดียว อย่าง "น้องแมว" ของค่ายหนึ่งแบตเตอรี่ทั้งก้อนราคาสูงถึง 540,000 บาทเลยทีเดียว ส่วนใหญ่มันก็ไม่ได้เสียยกชุดดอกนะครับ เปลี่ยนโมดุลย่อยๆ ได้ กรณีของรถยนต์ยี่ห้อ เทสล่า (Tesla) มีคนใช้งานเกิน 1,000,000 กิโลเมตร มากกว่า 5 ปีก็ยังไม่เสียหายนะแค่เสื่อมลง (ประจุไฟได้น้อยลง) แค่ 15% เท่านั้นเอง
ของแถม
ถัดมานั่นคือ "ของแถม" สิ่งที่ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าควรได้แถมมา เปรียบเสมือน "สิ่งที่ต้องให้" ในกล่องมือถือเครื่องใหม่ นั่นคือ "สายชาร์จฉุกเฉิน และ Home Charger หรือ Wallbox" เพราะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสถานีชาร์จส่วนตัวอย่าง Home Charger นั้น ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องไปชาร์จข้างนอกบ้านเลย เนื่องจากคุณมีแหล่งพลังงานส่วนตัว หรือปั๊มเติมพลังงานที่บ้าน นั่นเอง

และ "สายชาร์จฉุกเฉิน" ก็เหมือนเสมือนสายชาร์จมือถือ ที่ต้องแถมมาในทุกกล่องครับ มันจะช่วยชีวิตคุณยามคับขันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสายชาร์จที่สามารถชาร์จไฟฟ้าจากปลั๊ก 3 ตาทั่วไปได้ อันนี้จะถือว่าเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่ดีมากๆ หากตู้ชาร์จที่คุณกำลังไปชาร์จกลับปิดให้บริการ แต่แบตเตอร์รี่ของคุณอยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดไว้ เจ้าสายชาร์จฉุกเฉินนี่แหละ ที่จะช่วยกู้สถานการณ์ไว้ได้ แต่ก็อาจจะใช้เวลาในการชาร์จนานสักหน่อยนะ (ดีกว่าชาร์จไม่ได้ละกัน)
ทดลองขับจนแบตหมด แก้ไขอย่างไร?
รถยนต์ไฟฟ้าคืออนาคต | การเลือกรถไฟฟ้าสักคัน | การเตรียมที่ชาร์จในบ้าน











